เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีเพราะเหตุออกจากงาน (หน่วยงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ)
เงินได้ออกจากงาน หรือเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ในที่นี้เงินได้บางประเภทได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้ออกจากงานที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีอะไรกันบ้าง ไปดูกัน1. เงินชดเชยตามกฎหมาย
เงินชดเชยตามกฎหมายในที่นี้จะเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เฉพาะค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้างหรือเงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้ายแต่ไม่เกิน 300,000.- บาท ที่เกิดจาก1. นายจ้างเลิกจ้างโดยลูกจ้างไม่มีความผิด จะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายตามระยะเวลาในการทำงานดังนี้
2. นายจ้างเลิกจ้างเพราะนายจ้างย้ายสถานประกอบการไปยังสถานที่อื่น อันมีผลกระทบต่อการดำรงชีพตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว กรณีนี้ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยดังนี้
2.1 หากนายจ้างได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ลูกจ้างทราบไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันย้ายสถานประกอบการแล้ว ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา โดยจะได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่า 50% ของอัตราค่าชดชยปกติตามข้อ 1
2.2 หากนายจ้างไม่ได้แจ้งลา่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
3. นายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุปรับปรุงหน่วยงาน กระบวนการผลิตการจำหน่าย หรือการบริการอันเนื่องมาจากการนำเครื่องจักรมาใช้ หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร หรือเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลุกจ้างลง นายจ้างต้องแจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้างต่อพนักงานตรวจแรงงาน และลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้าง ไม่น้อยกว่า 60 ก่อนวันที่จะเลิกจ้าง กรณีนี้ลูกจ้างจะได้รับค่าชดเชยดังนี้
3.1 ค่าชดเชยปกติตามข้อ 1
3.2 หากนายจ้างไม่แจ้งหรือแจ้งล่วงหน้าน้อยกว่า 60 วัน นอกจากจะได้รับค่าชดเชยปกติตามข้อ 1 แล้ว นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน
วิธีการคำนวณเงินชดเชยที่ได้รับยกเว้น
ตัวอย่างที่ 1 ออกจากงานเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 ได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 200,000 บาท ได้รับเงินเดือน 12 เดือนสุดท้ายเท่ากันทุกเดือนเดือนละ 25,000 บาท
ตัวอย่างที่ 2 ออกจากงานเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 ได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน 350,000 บาท ได้รับเงินเดือน 12 เดือนสุดท้าย ดังนี้
มกราคม 2561 - ตุลาคม 2561 เดือนละ 30,000 บาท
พฤศจิกายน 2561 - ธันวาคม 2561 เดือนละ 35,000 บาท
นำไปเปรียบเทียบ 300,000 บาท ซึ่งมากกว่า จึงได้รับยกเว้นไม่เกิน 300,000 บาท แต่ได้รับเงินชดเชยจริงจำนวน 350,000 บาท ดังนั้นส่วนที่เกิน 300,000 บาท คือจำนวน 50,000 บาท ไม่ได้รับยกเว้นต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. เงินหรือผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เมื่อเราสิ้นสภาพจากการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เราจะได้รับเงินและผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษี ยกเว้น 2 กรณีดังต่อไปนี้ที่ไม่ต้องนำเงินดังกล่าวมารวมคำนวณภาษี
1. ได้รับเงินหรือผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจาก ออกจากงาน เพราะ ตาย ทุพพลภาพ หรือมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์2. ออกจากงานก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และมีสิทธิได้รับเงินหรือผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่ได้คงเงินหรือผลประโยชน์นั้นไว้ทั้งจำนวนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนกระทั่ง ตาย ทุพพลภาพ หรืออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จึงได้รับเงินหรือผลประโยชน์นั้น
การจะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ตามข้อ 1และ 2 ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
1) กรณีตาย ต้องมีหลักฐานที่แสดงถึงการตาย (ใบมรณบัตร)
2) กรณีทุพพลภาพ ต้องมีหลักฐานจากแพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าทุพพลภาพ (ใบรับรองแพทย์)
3) กรณีออกจากงานเมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ ต้องเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ดังนี้
- เป็นสมาชิกมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน หรือ
- ถ้าเป็นสมาชิกยังไม่ถึง 5 ปีต่อเนี่องกัน ต้องเป็นสมาชิกไปจนมีระยะเวลาการเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน หรือ
- ถ้าเคยเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แล้วได้โอนเงินหรือผลประโยชน์ที่คงไว้ทั้งจำนวนไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการรวมกับการเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแล้วต้องไม่น้อยกว่า 5 ปี
(การเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถ้ามีการโอนเงินหรือผลประโยชน์ระหว่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ให้นับอายุการเป็นสมาชิกต่อเนื่องกัน)
3. เงินชดเชยการว่างงานจากประกันสังคม
เงินประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งจำนวน
4. เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้ีรับจากกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
เงินหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนได้รับจาก กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เมื่อครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนออกจากงานเพราะเหตุสูงอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการ ดังนี้
1) กรณีเหตุสูงอายุ ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนต้องออกจากงานเมื่อมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ และมีระยะเวลาทำงานกับโรงเรียนเอกชนที่ทำงานอยู่ก่อนออกจากงานไม่น้อยกว่า 5 ปีบริบูรณ์
2) กรณีทุพพลภาพ ต้องเป็นกรณีที่แพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจและแสดงความเห็นว่า ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนผู้นั้นไม่สามารถประกอบอาชีพครูต่อไปได้3) กรณีตาย ไม่ว่าการตายนั้นจะเกิดจากการปฏิบัติงานหรือไม่
ทั้งนี้ ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนต้องมีการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และต้องมีหลักฐานจากโรงเรียนเอกชนเพื่อรับรองว่า ครูใหญ่หรือครูโรงเรียนเอกชนออกจากงานเพราะเหตุสูงอายุ ทุพพลภาพ หรือตาย แล้วแต่กรณีมาแสดงด้วย
อ้างอิง : ประมวลรัษฎากร ,www.rd.go.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น