การประกันชีวิตกับการลดหย่อนภาษี
อนาคตของคนเราเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าจะมีอายุยืนยาวไปจนถึงอายุเท่าไหร่ จะเกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยเมื่อไหร่หรือหนักหนาแค่ไหน บางคนอาจโชคดีมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง ซึ่งไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เพื่อเป็นการปกป้องชีวิตและครอบครัวหรือเพื่อออมเงินไว้ใช้ในอนาคต การทำประกันชีวิตจึงเริ่มเป็นที่ต้องการสำหรับคนวัยทำงาน อีกทั้งยังสามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนเมื่อต้องยื่นเสียภาษีปลายปีได้อีกด้วยแล้วประกันชีวิตที่เราทำเพื่อคุ้มครองชีวิต ครอบครัว และการออมในอนาคต แล้วยังก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของการลดหย่อนภาษี คือการประกันชีวิตแบบไหนบ้างล่ะ เดี๋ยวเรามาดูกัน แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักคำศัพท์ประกันชีวิตที่เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีกันก่อนดีกว่า
ประกันชีวิต คือ การประกันภัยที่การจ่ายเงินอาศัยการทรงชีพ หรือการมรณะของบุคคลเป็นเหตุในการจ่าย
กรมธรรม์ประกันชีวิต คือ ข้อตกลงของผู้รับประกันภัย (บริษัทประกัน) กับผู้เอาประกันภัย ในรูปแบบของสัญญาที่เรียกว่า "สัญญาประกันภัย" หรือ "สัญญาประกันชีวิต" ประกอบด้วย
- สัญญาหลัก จะเกี่ยวกับการคุ้มครองชีวิต และเงื่อนไขเงินคืน (การชำระเงินในส่วนของสัญญาหลัก จะเป็นเบี้ยประกันที่นำไปลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันชีวิต)
- สัญญาย่อย หรือสัญญาเพิ่มเติม จะเป็นการจ่ายชดเชยนอกเหนือจากสัญญาหลัก เช่น อุบัติเหตุ ค่ารักษาพยาบาล ประกันภัยสุขภาพ (การชำระเงินในส่วนของสัญญาย่อย หรือสัญญาเพิ่มเติมนี้ จะเป็นเบี้ยประกันที่นำไปลดหย่อนภาษีเบี้ยประกันสุขภาพ แต่รายละเอียดต้องเป็นไปตามกฎหมายกำหนด)
ผู้เอาประกันภัย คือ คู่สัญญาซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัยจำนวนหนึ่งให้ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกัน) เมื่อเกิดมีภัยขึ้น ผู้รับประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน/บุคคลที่ได้รับการคุ้มครองจากกรมธรรม์ประกันภัย ในการประกันชีวิต
ระยะเวลาประกันภัย คือ วันที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลเริ่มต้นให้ความคุ้มครองจนถึงวันสุดท้ายที่ให้ความคุ้มครอง หรือก็คือระยะเวลาการให้ความคุ้มครองในกรมธรรม์
ผู้ชำระเบี้ยประกัน คือ ผู้จ่ายเงินชำระค่าประกันชีวิตตามข้อตกลงในกรมธรรม์ ซึ่งผู้ชำระเบี้ยประกันจะเป็นบุคคลเดียวกับผู้เอาประกันหรือไม่ก็ได้
การประกันชีวิตที่สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตมาหักลดหย่อนภาษีได้ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1. เบี้ยประกันชีวิตสำหรับการประกันชีวิตที่เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด2. เบี้ยประกันชีวิตสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญ
1. เบี้ยประกันชีวิตสำหรับการประกันชีวิตที่เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
ค่าลดหย่อน |
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบี้ยประกันชีวิต |
ส่วนแรก หักลดหย่อนได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000.- บาท ส่วนที่ 2 ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นค่าประกันชีวิตโดยให้นำไปหักออกจากเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่าย
แล้ว(เสมือนเป็นค่าลดหย่อน ซึ่งต่อไปจะเรียกว่าค่าลดหย่อน) สำหรับส่วนที่เกิน 10,000.- บาท
แต่ไม่เกิน 90,000.- บาท * สรุปง่ายๆ ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตในส่วนนี้ให้หักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง
แต่ไม่เกิน 100,000.- บาท
|
1.ผู้รับประกัน (บริษัทประกัน) ต้องประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
(ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
หรือกฎหมายต่างประเทศ) 2.หากเป็นการฝากเงินที่มีลักษณะคล้ายกับการประกันชีวิต
กับ ธนาคาร ต้องเป็นธนาคารที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ เช่น
ธนาคารออมสิน
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
ที่มีข้อตกลงว่าธนาคารผู้รับฝากเงินจะจ่ายเงินและผลประโยชน์ตามข้อตกลงโดยอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของผู้ฝากเงิน และมีกำหนดระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป ได้แก่
การฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว, หรือประเภทสงเคราะห์ชีวิตและการศึกษา 3.กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องมีกำหนดระยะเวลาประกันภัยตั้งแต่
10 ปีขึ้นไป
ไม่ว่าจะเป็นการประกันชีวิตแบบออมทรัพย์
แบบบำนาญ ฯลฯ 4.ลดหย่อนได้เฉพาะสัญญาหลักที่คุ้มครองชีวิต
สัญญาย่อยหรือสัญญาเพิ่มเติมไม่สามารถนำมาลดหย่อนในส่วนนี้ได้
(ใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ที่เริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552
เป็นต้นไป) 5.กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นในระหว่างอายุกรมธรรม์
ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้จึงจะสามารถนำมาลดหย่อนได้ 5.1
กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี
เงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจะต้องไม่เกินร้อยละ 20
ของเบี้ยประกันชีวิตรายปี เช่น จ่ายเบี้ยประกันชีวิตปีละ 30,000.- บาท
(ร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายไปทั้งปีก็คือ 30,000. x 20% = 6,000.- บาท) ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนคืนมาปีละ 1,000.- บาท
ซึ่งไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิต รายปี กรณีนี้สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ แต่ถ้าผลประโยชน์ตอบแทนเกินปีละ 6,000.- บาท
จะไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนได้ 5.2
กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนตามช่วงระยะเวลาที่ผู้รับประกันภัยกำหนด
นอกเหนือจากข้อ 5.1 เช่น 2 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี เป็นต้น จะต้องไม่เกินร้อยละ 20
ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมของแต่ละช่วงเวลาที่ผู้รับประกันกำหนด เช่น
จ่ายเบี้ยประกันชีวิตปีละ 10,000.- บาท บริษัทประกันจ่ายผลประโยชน์คืนทุกๆ 5 ปี
จำนวน 5,000.- บาท
(กำหนดเวลาจ่ายผลประโยชน์คืนคือ 5 ปี
ดังนั้นฐานของการชำระเบี้ยประกันชีวิตสะสมก็คือ 10,000 x 5 = 50,000.- บาท ร้อยละ 20
ของเบี้ยประกันชีวิตสะสม ก็คือ 50,000 x 20% = 10,000.-
บาท) กรณีนี้สามรถนำไปหักลดหย่อนได้ 5.3 กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนที่ไม่เป็นไปตาม
5.1 หรือ 5.2
ผลรวมของเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนสะสมตั้งแต่ปีแรกถึงปีที่มีการจ่ายเงิน
หรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของเบี้ยประกันชีวิตสะสมทั้งหมดในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
(ช่วงระยะเวลาที่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนต้องไม่เกินร้อยละ 20
ของเบี้ยประกันชีวิตที่ได้จ่ายไปในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั่นเอง)
(ใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ที่เริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552
เป็นต้นไป) |
ค่าลดหย่อน |
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเบี้ยประกันชีวิต |
ส่วนที่ 3 ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบบำนาญเพิ่มขึ้นอีกใน อัตราร้อยละ 15
ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท (เงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี คือ
เงินได้พึงประเมินที่นำมาแสดงในแบบแสดงรายการภาษี ภ.ง.ด.90 ,ภ.ง.ด.91
เพื่อรวมคำนวณภาษี เช่นมีเงินเดือน 500,000.- บาท
หักยกเว้นเงินได้กรณีมีอายุตั้งแต่ 65 ปี ขึ้นไป จำนวน 190,000.- บาท เงินได้พึงประเมินที่นำไปกรอกในแบบ คือ 500,000 – 190,000 = 310,000.- บาท
ดังนั้นฐานในการคำนวณร้อยละ 15
ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี
คือ 310,000.- บาท นั่นเอง) และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
(กสช) หรือ
เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข) หรือ
เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน(กองทุนสงเคราะห์ครู)
หรือเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท
|
1.ผู้รับประกัน
(บริษัทประกัน)
ต้องประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
(ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
หรือกฎหมายต่างประเทศ) 2.กรมธรรม์ประกันชีวิตต้องเป็นการประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่มีระยะเวลาประกันภัยตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป 3.มีการกำหนดการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งจะจ่ายเท่ากันทุกงวดหรือจ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาเอาประกันก็ได้
โดยจะจ่ายตามการทรงชีพที่อาจมีการรับรองจำนวนงวดในการจ่ายที่แน่นอน 4.มีการกำหนดช่วงอายุของการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเมื่อผู้มีเงินได้มีอายุตั้งแต่
55 ปีขึ้นไป ถึง 85 ปี หรือกว่านั้น
และผู้มีเงินได้ต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยครบถ้วนแล้วก่อนได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญ
(ใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ที่เริ่มทำตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป) |
2.2 ใบเสร็จรับเงิน หรือหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันชีวิต ต้องมีการระบุข้อความเพิ่มเติมในกรณีดังต่อไปนี้
2.2.1 กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม (สัญญาย่อยหรือสัญญาเพิ่มเติม) ต้องระบุจำนวนเบี้ยประกันชีวิต กับเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสำหรับการคุ้มครองอื่นเพิ่มเติม แยกออกจากกันให้ชัดเจน (ใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป)
2.2.2 กรณีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการรับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนในระหว่างอายุกรมธรรม์ ต้องระบุเงื่อนไขและรายละเอียดการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนคืน (ใช้บังคับสำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตที่เริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป)
3. ชื่อผู้ชำระเบี้ยประกันชีวิตต้องเป็นบุคคลคนเดียวกับผู้เอาประกัน เนื่องจากกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นเงินได้ที่ผู้มีเงินได้ได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยในปีภาษีสำหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้เอง ดังนั้นกรณีที่ทำประกันชีวิตให้บุตรจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้
หลักเกณฑ์ในการหักค่าลดหย่อน
การหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตสามารถนำไปหักได้ตลอดปีภาษี ไม่ว่าการทำประกันชีวิตนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตามในปีภาษีนั้น เช่น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ได้มีการทำประกันชีวิตฉบับใหม่และชำระเบี้ยประกันชีวิตไปจำนวน 100,000.- บาท ก็สามารถนำเบี้ยประกันชีวิตจำนวน 100,000.- บาท ไปหักลดหย่อนภาษีในปี 2561 ได้ทั้งจำนวน โดยไม่ได้คำนึงถึงระยะเวลาในการทำ
สถานภาพการสมรส และการยื่นแบบ |
เบี้ยประกันชีวิต |
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
|
1.กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้ ผู้มีเงินได้ คู่สมรสไม่มีเงินได้ (การสมรสมีอยู่ตลอดปีภาษี) |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
10,000.- บาท
|
*หักเพิ่ม 15%
ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท |
2.กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้ ผู้มีเงินได้ คู่สมรสไม่มีเงินได้ (การสมรสระหว่างปีภาษี) |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท ไม่สามารถหักลดหย่อนได้
|
*หักเพิ่ม 15%
ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท
|
3.กรณีต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ แยกยื่นแบบ สามีผู้มีเงินได้ ภริยาผู้มีเงินได้ |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท |
*หักเพิ่ม 15%
ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท *หักเพิ่ม
15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท |
4.กรณีต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ยื่นแบบรวมกัน ไม่ว่าจะยื่นในนามสามีหรือภริยาก็ตาม สามีผู้มีเงินได้ ภริยาผู้มีเงินได้ |
ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท ตามจำนวนที่จ่ายจริงไม่เกิน
100,000.- บาท |
*หักเพิ่ม 15%
ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท *หักเพิ่ม
15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท |
* หมายเหตุ : การลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเพิ่มขึ้นได้อีกในอัตราร้อยละ
15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท
และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กสช) หรือ
เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข) หรือ
เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน(กองทุนสงเคราะห์ครู)
หรือเงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท |
กรณีที่ 1 ในปี 2561 นาย ก มีเงินได้เงินเดือนทั้งปี 2,000,000.- บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญเพียงอย่างเดียวปีละ 350,000.- บาท นาย ก จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 100,000.- บาท
(ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000.-บาท)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 200,000.- บาท
(ร้อยละ 15 ของเงินได้ 2,000,000 = 300,000.-บาท)
(หักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000.- บาท และเมื่อรวมกับ กสล/กบข/กองทุนสงเคราะห์ครู/RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท)
- รวมนาย ก หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ทั้งสิ้น = 300,000.- บาท
กรณีที่ 2 ในปี 2561 นาย ก มีเงินได้เงินเดือนทั้งปี 2,000,000.- บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญปีละ 350,000.- บาท และซื้อประกันชีวิตเพิ่มในปีนี้อีกจ่ายเบี้ยประกันชีวิตไปจำนวน 50,000.- บาท นาย ก จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิต = 50,000.- บาท
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 50,000.- บาท
(ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000.-บาท)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 200,000.- บาท
(ร้อยละ 15 ของเงินได้ 2,000,000 = 300,000.-บาท)
(หักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000.- บาท และเมื่อรวมกับ กสล/กบข/กองทุนสงเคราะห์ครูู/RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท)
- รวมนาย ก หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ทั้งสิ้น = 300,000.- บาท
กรณีที่ 3 ในปี 2561 นาย ก มีเงินได้เงินเดือนทั้งปี 2,000,000.- บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญปีละ 200,000.- บาท และซื้อประกันชีวิตเพิ่มในปีนี้อีกจ่ายเบี้ยประกันชีวิตไปจำนวน 50,000.- บาท นาย ก จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิต = 50,000.- บาท
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 50,000.- บาท
(ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000.-บาท)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 150,000.- บาท
(ร้อยละ 15 ของเงินได้ 2,000,000 = 300,000.-บาท)
(หักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000.- บาท และเมื่อรวมกับ กสล/กบข/กองทุนสงเคราะห์ครูู/RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท)
- รวมนาย ก หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ทั้งสิ้น = 250,000.- บาท
กรณีที่ 4 ในปี 2561 นาย ก มีเงินได้เงินเดือนทั้งปี 2,000,000.- บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญปีละ 100,000.- บาท และซื้อประกันชีวิตเพิ่มในปีนี้อีกจ่ายเบี้ยประกันชีวิตไปจำนวน 150,000.- บาท นาย ก จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิต = 100,000.- บาท
(ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000.-บาท)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 100,000.- บาท
(ร้อยละ 15 ของเงินได้ 2,000,000 = 300,000.-บาท)
(หักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000.- บาท และเมื่อรวมกับ กสล/กบข/กองทุนสงเคราะห์ครูู/RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท)
- รวมนาย ก หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ทั้งสิ้น = 200,000.- บาท
กรณีที่ 5 ในปี 2561 นาย ก มีเงินได้เงินเดือนทั้งปี 2,000,000.- บาท จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญปีละ 300,000.- บาท จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 250,000.- บาท ซื้อ RMF 200,000.- บาท นาย ก จะสามารถหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ดังนี้
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 100,000.- บาท
(ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000.-บาท)
- เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ = 60,000.- บาท
* เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักเป็นค่าลดหย่อน 10,000 บาท
ยกเว้นเงินได้จำนวน 240,000 บาท
* ยกเว้นเงินได้ RMF จำนวน 200,000 บาท
รวม 440,000 บาท
(ร้อยละ 15 ของเงินได้ 2,000,000 = 300,000.-บาท แต่ละตัวไม่เกินกฎหมายกำหนด)
(หักได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินซึ่งต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000.- บาท และเมื่อรวมกับ กสล/กบข/กองทุนสงเคราะห์ครูู/RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000.- บาท ดังนั้นประกันชีวิตแบบบำนาญจึงใช้ได้เพียง 500,000 - 440,000 = 60,000 )
- รวมนาย ก หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ทั้งสิ้น = 160,000.- บาท
ฐานในการคำนวณร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินที่ได้รับซึ่งต้องเสียภาษี ดูได้ตาม Link นี้ ฐานการคำนวณ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง :
1. กฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
2. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172 ) เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2(61) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 194 ) เรื่องกำหนดหลักเกณฑ์เงื่อนไข เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เท่าที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันชีวิตแบบำนาญของผู้มีเงินได้ตามข้อ 2(61) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น