การหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ
การเกิดมาอวัยวะครบถ้วน 32 ประการ ถือว่าเป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ ตรงกันข้ามกับคนที่มีอวัยวะไม่ครบถ้วน ร่างกายไม่สมบูรณ์อาจจะตั้งแต่เกิด หรือเกิดจากอุบัติเหตุ หรือจากสาเหตุอื่นใดก็แล้วแต่ คนเหล่านี้จะไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้เหมือนคนปกติทั่วไป ต้องมีคนคอยดูแล และสิ่งที่ตามมาก็จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ จึงได้มีมาตรการลดหย่อนภาษีจากค่าอุปการะเลี้ยงดูดังกล่าว เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระคนดูแลนั่นเอง
คนพิการ
การพิจารณาบุคคลที่มีความบกพร่องเพื่อจัดประเภทของคนพิการ
มีหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
1 คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมาก
จนต้องใช้สื่อสัมผัสและสื่อเสียง หากตรวจวัดความชัดของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไขแล้ว
อยู่ในระดับ 6 ส่วน 60 (6/60) หรือ 20 ส่วน 200
(20/200) จนถึงไม่สามารถรับรู้เรื่องแสง
1.2 คนเห็นเลือนราง หมายถึง
บุคคลที่สูญเสียการเห็น แต่ยังสามารถอ่านอักษร
ตัวพิมพ์ขยายใหญ่ด้วยอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ หรือเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก
หากวัดความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อแก้ไข70แล้วอยู่ในระดับ 6 ส่วน 18 (6/18) หรือ 20 ส่วน 70 (20/70)
2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตั้งแต่ระดับหูตึงน้อยจนถึงหูหนวก ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
2.1 คนหูหนวก หมายถึง
บุคคลที่สูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้ยินไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เครื่องช่วยฟัง
ซึ่งโดยทั่วไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป
2.2 คนหูตึง หมายถึง
บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน
โดยทั่วไปจะใส่เครื่องช่วยฟัง ซึ่งหากตรวจวัดการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยินน้อยกว่า 90 เดซิเบลลงมาถึง 26 เดซิเบล
3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่
บุคคลที่มีความจำกัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ
ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญร่วมกับความจำกัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย 2 ทักษะจาก 10 ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย
การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตภายในบ้านทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง
การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำงาน การใช้เวลาว่าง
การรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ทั้งนี้ ได้แสดงอาการดังกล่าวก่อนอายุ 18 ปี
4. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
หรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท
ดังนี้
4.1 บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
หรือการเคลื่อนไหว ได้แก่ บุคคลที่มีอวัยวะไม่สมส่วนหรือขาดหายไป
กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหว
ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจากโรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
การไม่สมประกอบ มาแต่กำเนิด อุบัติเหตุและโรคติดต่อ
4.2 บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ
ได้แก่
บุคคลที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีโรคประจำตัวซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซึ่งมีผลทำให้เกิดความจำเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษ
5. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ได้แก่
บุคคลที่มีความผิดปกติในการทำงานของสมองบางส่วนที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรียนรู้ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้าน
คือ การอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้
ทั้งที่มีระดับสติปัญญาปกติ
6. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด เช่น เสียงผิดปกติ
อัตราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลที่มีความบกพร่อง
ในเรื่องความเข้าใจหรือการใช้ภาษาพูด
การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งอาจเกี่ยวกับรูปแบบ
เนื้อหาและหน้าที่ของภาษา
7. บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม
หรืออารมณ์ ได้แก่ บุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติเป็นอย่างมาก
และปัญหาทางพฤติกรรมนั้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งเป็นผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้
อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมองเสื่อม เป็นต้น
8. บุคคลออทิสติก ได้แก่
บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน
ซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน
9. บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่งประเภทในบุคคลเดียวกัน
9. บุคคลพิการซ้อน ได้แก่ บุคคลที่มีสภาพความบกพร่องหรือความพิการมากกว่าหนึ่งประเภทในบุคคลเดียวกัน
คนทุพพลภาพ
คนทุพพลภาพที่แพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีภาวะจำกัด หรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรหลักอันเป็นปกติเยี่ยงบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากสาเหตุทางปัญหาสุขภาพ หรือความเจ็บป่วยที่เป็นต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีเงินได้กับคนพิการหรือคนทุพพลภาพ
ผู้มีเงินได้ที่จะนำคนพิการหรือคนทุพพลภาพมาหักลดหย่อนต้องมีความสัมพันธ์กับคนพิการหรือคนทุพพลภาพดังต่อไปนี้
1. เป็นบิดา
มารดาของผู้มีเงินได้
2.
เป็นบิดามารดาของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
3.
เป็นสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
4.
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย หรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้
5.
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้
6. หากเป็นบุคคลอื่นที่นอกเหนือจาก
1 – 5 หากผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลตามกฎหมาย ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิได้เพียง 1
คน
หลักเกณ์การอุปการะบุคคลซึ่งเป็นคนพิการ
1. ต้องเป็นคนพิการซึ่งมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
2. คนพิการที่จะนำมาลดหย่อนต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000.-บาท ในปีภาษีที่ใช้สิทธิลดหย่อน
(เงินได้พึงประเมินในที่นี้หมายความรวมถึงเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42
แห่งประมวลรัษฎากรด้วย)
3. ผู้มีเงินได้ต้องเป็นผู้ดูแลตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
และมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการ
4. กรณีมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลคนพิการในระหว่างปีภาษี
ให้ผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการคนสุดท้ายในปีภาษีนั้นเป็นผู้มีสิทธิหักลดหย่อน
5. กรณีผู้มีเงินได้หลายคนมีชื่อเป็นผู้ดูแลคนพิการ
ให้ทุกคนตกลงกันเพื่อยินยอมให้คนหนึ่งคนใดเป็นผู้ใช้สิทธิลดหย่อน
และทำความตกลงเป็นหนังสือโดยทุกคนเป็นผู้ลงนามในหนังสือตกลงยินยอมนั้น
6. กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้
และเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้ดูแลบุตรพิการในบัตรประจำตัวคนพิการ
โดยไม่มีชื่อผู้มีเงินได้อื่นอีกเป็นผู้ดูแล ให้ผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรซึ่งพิการได้
7. กรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
(อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่ขอลดหย่อนรวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วไม่ถึง 180 วัน)
ให้หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุคคลพิการได้เฉพาะบุคคลพิการที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
หลักฐานที่ใช้ประกอบในการหักลดหย่อน
- ภาพถ่ายบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
- ภาพถ่ายบัตรประจำตัวคนพิการในส่วนที่แสดงว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้ดูแลคนพิการ
- หนังสือตกลงยินยอม
(กรณีผู้มีเงินได้หลายคนเป็นผู้ดูแลคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการ)
- หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ
(แบบ ล.ย.04)
หลักเกณฑ์การอุปการะบุคคลซึ่งเป็นคนทุพพลภาพ
1. ต้องเป็นคนทุพพลภาพที่แพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีภาวะจำกัด
หรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรหลักอันเป็นปกติเยี่ยงบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากสาเหตุทางปัญหาสุขภาพ หรือความเจ็บป่วยที่เป็นต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน
2. คนทุพพลภาพที่จะนำมาลดหย่อนต้องมีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน
30,000.-บาท ในปีภาษีที่ใช้สิทธิลดหย่อน
(เงินได้พึงประเมินในที่นี้หมายความรวมถึงเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา 42
แห่งประมวลรัษฎากรด้วย)
3. ต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ
ที่รับรองว่าผู้มีเงินได้เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู (แบบ ล.ย. 04-1) โดยผู้รับรองต้องเป็นบุคคลดังต่อไปนี้
3.1 กรณีเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับคนทุพพลภาพ
ได้แก่ สามี ภริยา บุตรชอบด้วยกฎหมาย บุตรบุญธรรมหรือหลาน บิดา
มารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันหรือร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา
ยาย ลุง ป้า น้า อา
3.2 กำนันผู้ใหญ่บ้าน
ในท้องที่ที่บุคคลทุพพลภาพอยู่อาศัย
3.3 บุคคลที่เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในท้องที่ที่บุคคลทุพพลภาพอาศัยอยู่
3.4 ผู้รับรองต้องเป็นบุคคลซึ่งบรรลุนิติภาวะ
และรับรองผู้มีเงินได้ได้ไม่เกิน 1 คน
สำหรับการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพคนหนึ่งคนใด
4. กรณีผู้มีเงินได้มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
(อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่ขอลดหย่อนรวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วไม่ถึง 180 วัน)
ให้หักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุคคลทุพพลภาพได้เฉพาะบุคคลทุพพลภาพที่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย
หลักฐานที่ใช้ประกอบในการหักลดหย่อน
- ใบรับรองแพทย์ที่แพทย์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้ตรวจและแสดงความเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีภาวะจำกัด
หรือขาดความสามารถในการประกอบกิจวัตรหลักอันเป็นปกติเยี่ยงบุคคลทั่วไป อันเนื่องมาจากสาเหตุทางปัญหาสุขภาพ หรือความเจ็บป่วยที่เป็นต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า 180 วัน หรือทุพพลภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน
- หนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพ
(แบบ ล.ย.04)
- หนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ
(แบบ ล.ย. 04-1)
การหักลดหย่อนค่าอุปการะบุคคลซึ่งเป็นคนพิการหรือทุพพลภาพ
1. หักลดหย่อนค่าอุปการะบุคคลซึ่งเป็นคนพิการหรือคนทุพพลภาพได้คนละ
60,000.- บาท
2. กรณีเป็นทั้งคนพิการและเป็นคนทุพพลภาพด้วย ให้หักลดหย่อนได้ในฐานะคนพิการเพียงฐานะเดียว
ยกตัวอย่างเช่น นาย ก สมรสกับนาง ข โดยนาง ข
เป้นผู้ไม่มีเงินได้ มีบุตรด้วยกันจำนวน 3 คน อายุ 18 ปี 15 ปี และ 9
ปี ตามลำดับ โดยบุตรคนที่ 3 เป็นคนพิการมีชื่อ
นาง ข เป็นผู้ดูแลในบัตรประจำตัวคนพิการ และนาย ก ยังผู้ดูแลน้องชายซึ่งเป็นคนพิการในบัตรประจำตัวคนพิการอีก 2 คน นาย ก สามารถลดหย่อนได้ดังนี้
- ลดหย่อนบุตรจำนวน
3 คน ค่าลดหย่อนจำนวน 90,000.- บาท
- ลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคนที่
3 ซึ่งเป็นคนพิการ อีก 60,000.- บาท
- ลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูน้องชายซึ่งเป็นคนพิการ อีก จำนวน 1 คน 60,000.- บาท
- ลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูน้องชายซึ่งเป็นคนพิการ อีก จำนวน 1 คน 60,000.- บาท
(นาย ก สามารถหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการซึ่งเป็นบุคคลอื่นได้เพียงจำนวน 1 คน)
รวมนาย ก ใช้สิทธิลดหย่อนได้รวมจำนวน 210,000.- บาท
หากใครมีคนพิการหรือคนทุพพลภาพที่ต้องอุปการะเลี้ยงดู ก็ลองศึกษาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเพื่อนำไปหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือคนทุพพลภาพกันดู การหักลดหย่อนนี้จะสามารถลดภาษีได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับอัตราภาษีที่แต่ละคนต้องเสีย จึงมีผลในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น